
เบื้องหลังเปลวเพลิงและควันดำที่กลืนกินอาคาร “หวังฟุกคอร์ท” ในฮ่องกง นี่คือโศกนาฏกรรมจากอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน หรือเป็นผลลัพธ์ของความประมาทเลินเล่อที่รอวันปะทุ?

ในช่วงบ่ายของวันที่ 26 พฤศจิกายน 2568 เปลวไฟได้เริ่มลุกไหม้ที่กลุ่มอาคารที่พักอาศัย “หวังฟุกคอร์ท” (Wang Fuk Court) ในเขตไทโป ทางตอนเหนือของฮ่องกง ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยอาคาร 8 หลัง และมีห้องพักรวมกว่า 2,000 ยูนิต สถานการณ์ลุกลามอย่างรวดเร็ว เปลวไฟโหมกระหน่ำลุกลามข้ามอาคารสูง 32 ชั้น ผ่านนั่งร้านไม้ไผ่ที่ห่อหุ้มตัวตึกซึ่งอยู่ระหว่างการซ่อมบำรุง

ภาพโครงสร้างนั่งร้านที่ถูกเผาไหม้ร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน ขณะที่กลุ่มควันสีดำหนาทึบพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วบริเวณ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงต้องระดมกำลังเข้าควบคุมสถานการณ์และทำงานอย่างหนักตลอดทั้งคืน ท่ามกลางความร้อนจัดและกลุ่มควันที่เป็นอุปสรรคสำคัญในการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ภายในอาคาร โดยปฏิบัติการกู้ภัยและดับเพลิงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องข้ามคืนจนถึงเช้าวันที่ 27 พฤศจิกายน

ภาพเหตุการณ์ที่น่าสลดใจนี้ไม่ได้เป็นเพียงอุบัติเหตุไฟไหม้ทั่วไป แต่ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสูญเสียครั้งใหญ่ที่วัดค่าด้วยชีวิตและน้ำตาของผู้คนจำนวนมากข้อมูลล่าสุดจากทางการได้ยืนยันถึงขนาดของความสูญเสียที่น่าสะเทือนใจ (ล่าสุด ณ เช้าวันที่ 27 พ.ย. 68)
* ผู้เสียชีวิต: อย่างน้อย 44 ราย (รวมเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 1 นาย)
* ผู้สูญหาย: 279 คน
* ผู้บาดเจ็บสาหัส: 45 ราย (อาการอยู่ในขั้นวิกฤต)ความรุนแรงของเหตุการณ์ครั้งนี้ถูกบันทึกเป็นโศกนาฏกรรมเพลิงไหม้ที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี 1948 โดยมียอดผู้เสียชีวิตแซงหน้าเหตุไฟไหม้อาคารพาณิชย์ในเขตก้าวหลุนเมื่อปี 1996 ซึ่งครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิต 41 ราย ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงความล้มเหลวในการป้องกันเหตุที่ร้ายแรงอย่างยิ่งขณะเดียวกัน เรื่องราวส่วนบุคคลของผู้ที่ได้รับผลกระทบได้ตอกย้ำภาพความโหดร้ายของเหตุการณ์ให้ชัดเจนขึ้น นายหว่อง ชายวัย 71 ปี ต้องทรุดตัวลงร่ำไห้เมื่อรู้ว่าภรรยาของเขายังคงติดอยู่ภายในอาคาร, แฮร์รี่ จาง วัย 66 ปี ผู้อยู่อาศัยมานานกว่า 40 ปี ที่ต้องรีบหนีเอาชีวิตรอดโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคืนนี้จะไปนอนที่ไหน เช่นเดียวกับ หญิงสูงวัยแซ่จู วัย 70 ปี ที่กลับมาพบว่าบ้านของเธอยังคงถูกไฟเผาไหม้และไม่สามารถติดต่อเพื่อนที่อาศัยอยู่ในตึกข้างเคียงได้ ความสูญเสียที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นอนาคต ความหวัง และชีวิตของผู้คน ที่ต้องมาจบลงจากเหตุการณ์ที่อาจป้องกันได้

คำถามที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เปลวไฟลุกลามอย่างรุนแรงจนนำไปสู่ความสูญเสียมหาศาลเช่นนี้? และใครคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อโศกนาฏกรรมครั้งนี้?
จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ ตำรวจฮ่องกงได้ระบุปัจจัยสำคัญที่เชื่อว่าเป็นชนวนให้ไฟลุกลามอย่างรวดเร็วและรุนแรง ดังนี้
* นั่งร้านที่ไม่ปลอดภัย: ตัวอาคารถูกห่อหุ้มด้วยนั่งร้านไม้ไผ่ แผ่นตาข่ายและพลาสติกป้องกัน ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจไม่ได้มาตรฐานด้านการป้องกันอัคคีภัย ทำให้กลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีที่นำพาเปลวไฟให้ลุกลามไปทั่วอาคารอย่างรวดเร็ว
* วัสดุติดไฟง่าย: เจ้าหน้าที่ค้นพบว่าหน้าต่างของอาคารบางส่วนถูกปิดผนึกด้วย วัสดุโฟม ที่บริษัทก่อสร้างนำมาติดตั้งระหว่างการซ่อมบำรุง ซึ่งเป็นวัสดุที่ติดไฟง่ายและอาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไฟโหมกระหน่ำ
จากหลักฐานดังกล่าว ไอลีน ชุง ผู้กำกับการตำรวจฮ่องกง ได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า “มีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าผู้รับผิดชอบของบริษัทมีพฤติกรรมประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ซึ่งนำไปสู่อุบัติเหตุครั้งนี้” ผลจากการสืบสวนนำไปสู่การจับกุมชาย 3 คนจากบริษัทก่อสร้างที่รับผิดชอบการซ่อมบำรุงอาคาร ประกอบด้วยกรรมการ 2 คน และที่ปรึกษาด้านวิศวกรรม 1 คน ในข้อหา “ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา”
การดำเนินคดีครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า สาเหตุของโศกนาฏกรรมอาจไม่ใช่แค่ความผิดพลาดเฉพาะจุด แต่สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างด้านความปลอดภัยที่ใหญ่กว่านั้น ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในอุตสาหกรรมการก่อสร้างของฮ่องกงมาอย่างยาวนาน

โศกนาฏกรรมนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ แต่เกิดขึ้นท่ามกลางบริบทที่ ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่สูงเสียดฟ้าของฮ่องกงเป็นชนวนของความไม่พอใจในสังคมมาอย่างยาวนาน เหตุการณ์นี้จึงเป็นเหมือนการสาดน้ำมันเข้าก